Thai Song Church
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ (For God so loved the world that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but have eternal life. )
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2566
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
บ้านแห่งพระพร
บุรุษ สตรี(ยาเอล มารธา ฮันนาห์ มารีย์ ) ลูก(ซามูเอล อิสอัค ดาวิด)
บ้านของอาบีนาดับ และ บ้านของโอเบดเอโดม
2ซมอ. 6:1 ดาวิดทรงรวบรวมทหารทั้งปวงในอิสราเอลที่ถูกคัดแล้วอีกครั้งหนึ่งได้ 30,000 คน
2ซมอ. 6:2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือพวกเครูบ
2ซมอ. 6:3 และพวกเขาก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยพวกบุตรของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น
2ซมอ. 6:4 และบรรทุกหีบของพระเจ้า นำจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอาหิโยเดินหน้าหีบ
2ซมอ. 6:5 ดาวิดกับพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ร่าเริงกันเต็มที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรี และด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ
2ซมอ. 6:6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะโคสะดุด
2ซมอ. 6:7 และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาที่นั่น เพราะความผิดของเขา เขาจึงตายข้างหีบของพระเจ้า
2ซมอ. 6:8 และดาวิดก็กริ้ว เพราะพระยาห์เวห์ทรงทลายด้วยการทำลายอุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์จนถึงทุกวันนี้
2ซมอ. 6:9 ในวันนั้นดาวิดก็ทรงกลัวพระยาห์เวห์ และตรัสว่า “หีบของพระยาห์เวห์จะมาถึงข้าได้อย่างไร?”
2ซมอ. 6:10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ทรงยอมนำหีบของพระยาห์เวห์เข้าไปในเมืองของดาวิดให้อยู่กับตน แต่ดาวิดทรงให้เลี้ยวไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัท
2ซมอ. 6:11 หีบของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทสามเดือน และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรโอเบดเอโดมและครอบครัวของเขาทุกคน
2ซมอ. 6:12 มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอวยพรครอบครัวของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปนำหีบของพระเจ้า จากบ้านของโอเบดเอโดมถึงเมืองของดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี
2ซมอ. 6:13 และเมื่อผู้หามหีบของพระยาห์เวห์เดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง
2ซมอ. 6:14 และดาวิดก็ทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดทรงสวมเอโฟดผ้าป่านอยู่
2ซมอ. 6:1 ดาวิดทรงรวบรวมทหารทั้งปวงในอิสราเอลที่ถูกคัดแล้วอีกครั้งหนึ่งได้ 30,000 คน 2ซมอ. 6:2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือพวกเครูบ 2ซมอ. 6:3 และพวกเขาก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยพวกบุตรของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น 2ซมอ. 6:4 และบรรทุกหีบของพระเจ้า นำจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอาหิโยเดินหน้าหีบ 2ซมอ. 6:5 ดาวิดกับพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ร่าเริงกันเต็มที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรี และด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ 2ซมอ. 6:6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะโคสะดุด 2ซมอ. 6:7 และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาที่นั่น เพราะความผิดของเขา เขาจึงตายข้างหีบของพระเจ้า 2ซมอ. 6:8 และดาวิดก็กริ้ว เพราะพระยาห์เวห์ทรงทลายด้วยการทำลายอุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์จนถึงทุกวันนี้ 2ซมอ. 6:9 ในวันนั้นดาวิดก็ทรงกลัวพระยาห์เวห์ และตรัสว่า “หีบของพระยาห์เวห์จะมาถึงข้าได้อย่างไร?” 2ซมอ. 6:10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ทรงยอมนำหีบของพระยาห์เวห์เข้าไปในเมืองของดาวิดให้อยู่กับตน แต่ดาวิดทรงให้เลี้ยวไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัท 2ซมอ. 6:11 หีบของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทสามเดือน และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรโอเบดเอโดมและครอบครัวของเขาทุกคน 2ซมอ. 6:12 มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอวยพรครอบครัวของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปนำหีบของพระเจ้า จากบ้านของโอเบดเอโดมถึงเมืองของดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี 2ซมอ. 6:13 และเมื่อผู้หามหีบของพระยาห์เวห์เดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง 2ซมอ. 6:14 และดาวิดก็ทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดทรงสวมเอโฟดผ้าป่านอยู่ 2ซมอ. 6:15 ดังนั้นดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอล นำหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นมา ด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์ 2ซมอ. 6:16 ขณะเมื่อหีบของพระยาห์เวห์เข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดทรงกระโดดและเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ นางก็ดูหมิ่นดาวิดในใจ 2ซมอ. 6:17 พวกเขานำหีบของพระยาห์เวห์เข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนด ตรงกลางเต็นท์ซึ่งดาวิดทรงตั้งไว้ และดาวิดก็ทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 2ซมอ. 6:18 และเมื่อดาวิดทรงเสร็จสิ้นการถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องศานติบูชาแล้ว พระองค์ก็ทรงอวยพรประชาชนในพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ 2ซมอ. 6:19 และแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมลูกเกดคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งชายและหญิง แล้วประชาชนทั้งปวงต่างก็กลับไปยังบ้านของตน 2ซมอ. 6:20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียว นะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าพวกสาวใช้ของเหล่าข้าราชการของฝ่าพระบาท อย่างกับไพร่คนหนึ่งแก้ผ้าไร้ยางอาย” 2ซมอ. 6:21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า “เป็นสิ่งที่ทำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อทรงแต่งตั้งให้เราเป็นผู้นำเหนือประชากรของพระยาห์เวห์ เหนืออิสราเอล เราจึงเริงโลดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 2ซมอ. 6:22 เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้ และเราจะเป็นคนต่ำต้อยในสายตาเรา แต่พวกสาวใช้ที่เจ้าพูดถึงนั้น สำหรับพวกเขา เราจะเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ” 2ซมอ. 6:23 และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ |
777777777777
บ้านของศักเคียส
ลก. 19:5 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงที่นั่น พระองค์แหงนพระพักตร์ดูศักเคียสแล้วตรัสกับเขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าวันนี้เราจะต้องพักอยู่ในบ้านของท่าน”
ลก. 19:6 แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี
ลก. 19:7 ทุกคนที่เห็นแล้วก็พากันบ่นและกล่าวว่า “ท่านผู้นี้จะเข้าไปพักอยู่กับคนบาป”
ลก. 19:8 ส่วนศักเคียสนั้นยืนขึ้นทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนยากจนครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์โกงอะไรของใครมา ก็ยอมคืนให้เขาสี่เท่า”
ลก. 19:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย
ลก. 19:10 เพราะว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้รอด”
7777777777
บ้านของมารธา, มารีย์ และ ลาซารัส
ลก. 10:38 เมื่อพระเยซูกับพวกสาวกเดินทางไป พระองค์ทรงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมารธาต้อนรับพระองค์เข้าไปพักที่บ้านของนาง
ลก. 10:39 มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ และมารีย์ก็นั่งอยู่ใกล้พระบาทของพระเยซูคอยฟังถ้อยคำของพระองค์
ลก. 10:40 แต่มารธาวุ่นวายอย่างมากกับการปรนนิบัติ จึงมาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวของข้าพระองค์ปล่อยให้ข้าพระองค์ปรนนิบัติอยู่คนเดียว? ขอพระองค์สั่งน้องให้มาช่วยข้าพระองค์ด้วย”
ลก. 10:41 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบนางว่า “มารธา มารธาเอ๋ย เธอกระวนกระวายและร้อนใจหลายอย่างเหลือเกิน
ลก. 10:42 สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ก็เลือกเอาส่วนที่ดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”(ยอห์น 4:34 THSV11 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ
ยอห์น 6:35 THSV11 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย)
ยน. 11:11 พระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว แต่เรากำลังจะไปปลุกให้เขาตื่น”
ยน. 11:12 พวกสาวกทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะมีอาการดีขึ้น”
ยน. 11:13 พระเยซูตรัสถึงการตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน
ยน. 11:14 ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว
ยน. 11:15 และเพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ อย่างไรก็ดี ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด”
ยน. 11:16 โธมัสที่เรียกว่า “ดิดุโมส” จึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า “ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์”
ยน. 11:17 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงก็พบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว
ยน. 11:18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม คือห่างกันประมาณสามกิโลเมตร
ยน. 11:19 พวกยิวหลายคนมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย
ยน. 11:20 เมื่อมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา นางก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในบ้าน
ยน. 11:21 มารธาทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย
ยน. 11:22 แต่ข้าพระองค์ก็ทราบว่าไม่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์”
ยน. 11:23 พระเยซูตรัสกับนางว่า “ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก”
ยน. 11:24 มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา”
ยน. 11:25 พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป
ยน. 11:26 และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?”
ยน. 11:27 มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก”
มธ. 16:15 แล้วพระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?” มธ. 16:16 ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” มธ. 16:17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะมนุษย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ มธ. 16:18 เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้ มธ. 16:19 เราจะมอบลูกกุญแจต่างๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดที่ท่านกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์” |
ยน. 11:28 เมื่อทูลอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า “อาจารย์เสด็จมาแล้วและทรงเรียกเธอ”
ยน. 11:29 เมื่อมารีย์ได้ยิน ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์
ยน. 11:30 ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ที่ที่มารธาพบพระองค์นั้น
ยน. 11:31 เมื่อพวกยิวกำลังปลอบโยนมารีย์อยู่ที่บ้าน พวกเขาเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป พวกเขาจึงตามไป นึกว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ
ยน. 11:32 เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย”
ยน. 11:33 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์สะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์
ยน. 11:34 พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด”
ยน. 11:35 พระเยซูทรงกันแสง
ยน. 11:36 พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร”
ยน. 11:37 แต่บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”
ยน. 11:38 พระเยซูสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากอุโมงค์ไว้
ยน. 11:39 พระเยซูตรัสว่า “จงเอาหินออกเสีย” มารธาพี่สาวของคนตายจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว”
ยน. 11:40 พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?”
ยน. 11:41 พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้าพระองค์
ยน. 11:42 ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”
ยน. 11:43 เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด”
ยน. 11:44 คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด”
ยน. 12:1 ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย
ยน. 12:2 พวกเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์
ยน. 12:3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซู และเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น
ยน. 12:4 แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คนที่จะทรยศพระองค์) พูดว่า
ยน. 12:5 “ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินซักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้กับคนจน?”
ยน. 12:6 เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป
ยน. 12:7 พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย ให้นางเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา
ยน. 12:8 เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ”
ยน. 12:9 พวกยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่มาเพราะพระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อจะเห็นลาซารัสคนที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายด้วย
ยน. 12:10 ดังนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสด้วย
ยน. 12:11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนแยกตัวไปและวางใจในพระเยซู
ยน. 12:17 ฝูงชนที่อยู่กับพระองค์เมื่อครั้งพระองค์ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น ก็เป็นพยานในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ยินและได้เห็น
ยน. 12:18 เหตุที่ฝูงชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญนั้น
7777777777777
บ้านห้องใหญ่ชั้นบน(ปัสกา บ้านนางมารีย์แม่ของมาระโก)
กจ. 12:12 เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ไปที่บ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโก ที่นั่นมีหลายคนกำลังประชุมอธิษฐานกันอยู่
กจ. 12:13 พอเปโตรเคาะที่ประตูชั้นนอก ก็มีสาวใช้คนหนึ่งชื่อโรดาออกมาดู
กจ. 12:14 เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เธอปีติยินดีอย่างยิ่ง แต่แทนที่จะเปิดประตูให้ กลับวิ่งเข้าไปบอกว่าเปโตรยืนอยู่หน้าประตู
กจ. 12:15 พวกเขาจึงพูดกับเธอว่า “เจ้าเป็นบ้า” แต่เธอยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาจึงบอกว่า “คงเป็นทูตสวรรค์ประจำตัวของเปโตร”
กจ. 12:16 ส่วนเปโตรยังยืนเคาะอยู่ที่ประตู เมื่อพวกเขาเปิดประตูเห็นท่านก็อัศจรรย์ใจ
กจ. 12:17 เปโตรโบกมือให้พวกเขาเงียบ แล้วเล่าให้พวกเขาฟังว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพาท่านออกจากคุกอย่างไร แล้วท่านสั่งว่า “จงไปบอกเรื่องนี้ให้ยากอบกับพวกพี่น้องทราบ” แล้วเปโตรก็ออกไปอยู่ที่อื่น
กจ. 12:1 ในเวลานั้นกษัตริย์เฮโรดเหยียดพระหัตถ์ออกทำร้ายบางคนในคริสตจักร กจ. 12:2 ท่านฆ่ายากอบพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ กจ. 12:3 เมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ กจ. 12:4 เมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก และให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่าเมื่อสิ้นเทศกาลปัสกา แล้วจะพาออกมาให้ประชาชน กจ. 12:5 เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำจองในคุก แต่คริสตจักรอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเปโตรอย่างกระตือรือร้น กจ. 12:6 ในคืนนั้นก่อนถึงเวลาที่เฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรกำลังนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และมีพวกยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก กจ. 12:7 นี่แน่ะ มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องขัง ทูตองค์นั้นกระตุ้นเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วว่า “ลุกขึ้นเร็วๆ ” โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตร กจ. 12:8 ทูตสวรรค์องค์นั้นสั่งเปโตรว่า “จงคาดเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็ทำตาม แล้วทูตจึงสั่งว่า “จงสวมเสื้อและตามเรามาเถิด” กจ. 12:9 เปโตรจึงตามออกไป และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทูตสวรรค์ทำนั้นเป็นความจริง คิดว่าเห็นนิมิต กจ. 12:10 เมื่อออกไปพ้นทหารยามชั้นที่หนึ่งและที่สองแล้ว ก็มาถึงประตูเหล็กทางที่จะเข้าไปในเมือง ประตูบานนั้นก็เปิดออกเองให้กับท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองจึงผ่านออกไปและเมื่อเดินถึงช่วงหนึ่งของถนน ทูตสวรรค์ก็หายวับไปจากเปโตร กจ. 12:11 เมื่อเปโตรรู้สึกตัวแล้วจึงพูดว่า “ตอนนี้ข้าพเจ้าแน่ใจแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรด และพ้นจากการมุ่งร้ายของพวกยิว” กจ. 12:12 เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ท่านก็ไปที่บ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโก ที่นั่นมีหลายคนกำลังประชุมอธิษฐานกันอยู่ กจ. 12:13 พอเปโตรเคาะที่ประตูชั้นนอก ก็มีสาวใช้คนหนึ่งชื่อโรดาออกมาดู กจ. 12:14 เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เธอปีติยินดีอย่างยิ่ง แต่แทนที่จะเปิดประตูให้ กลับวิ่งเข้าไปบอกว่าเปโตรยืนอยู่หน้าประตู กจ. 12:15 พวกเขาจึงพูดกับเธอว่า “เจ้าเป็นบ้า” แต่เธอยืนยันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาจึงบอกว่า “คงเป็นทูตสวรรค์ประจำตัวของเปโตร” กจ. 12:16 ส่วนเปโตรยังยืนเคาะอยู่ที่ประตู เมื่อพวกเขาเปิดประตูเห็นท่านก็อัศจรรย์ใจ กจ. 12:17 เปโตรโบกมือให้พวกเขาเงียบ แล้วเล่าให้พวกเขาฟังว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพาท่านออกจากคุกอย่างไร แล้วท่านสั่งว่า “จงไปบอกเรื่องนี้ให้ยากอบกับพวกพี่น้องทราบ” แล้วเปโตรก็ออกไปอยู่ที่อื่น กจ. 12:18 พอถึงรุ่งเช้า พวกทหารเกิดความโกลาหลอย่างมากในเรื่องที่เกิดขึ้นกับเปโตร กจ. 12:19 เมื่อเฮโรดทรงหาตัวเปโตรไม่พบ จึงทรงไต่สวนพวกทหารยาม และมีรับสั่งให้ประหาร แล้วท่านก็ออกจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียา |
ลก. 10:7 จงอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันนั้นตลอด กินและดื่มของที่พวกเขาจัดให้นั้น เพราะว่าคนที่ทำงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน อย่าย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น
ลก. 10:1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูทรงแต่งตั้งอีกเจ็ดสิบสองคนและทรงใช้พวกเขาออกไปเป็นคู่ๆ ล่วงหน้าไปก่อนพระองค์ เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเสด็จไปนั้น ลก. 10:2 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมาก แต่คนงานยังน้อยอยู่ เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์ ลก. 10:3 ไปเถอะ เราใช้พวกท่านออกไปเหมือนอย่างลูกแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ลก. 10:4 อย่าเอาถุงเงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไป และอย่าทักทายใครตามทาง ลก. 10:5 ถ้าจะเข้าไปในบ้านใดจงพูดก่อนว่า ‘ขอให้บ้านนี้มีสันติสุข’ ลก. 10:6 ถ้ามีคนรักสันติอยู่ที่นั่น สันติสุขของพวกท่านจะอยู่กับเขา ถ้าไม่มี สันติสุขของท่านจะกลับคืนมาอยู่กับพวกท่าน ลก. 10:7 จงอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันนั้นตลอด กินและดื่มของที่พวกเขาจัดให้นั้น เพราะว่าคนที่ทำงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน อย่าย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น ลก. 10:8 เมื่อพวกท่านเข้าไปในเมืองไหนและมีคนต้อนรับท่าน จงรับประทานสิ่งที่เขาจัดให้ ลก. 10:9 และจงรักษาคนป่วยในเมืองนั้นให้หายและแจ้งกับเขาว่า ‘แผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้พวกท่านแล้ว’ ลก. 10:10 แต่ถ้าท่านทั้งหลายเข้าไปในเมืองไหนและไม่มีใครต้อนรับท่าน จงออกไปที่กลางถนนของเมืองนั้นกล่าวว่า ลก. 10:11 ‘แม้แต่ผงคลีดินในเมืองของพวกท่านที่ติดอยู่กับเท้าของเรา เราก็จะสะบัดออกเพื่อเป็นการประท้วงท่าน แต่พวกท่านจงเข้าใจข้อความนี้ คือแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว’ |
มก. 14:12 เมื่อถึงวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งเป็นเวลาที่พวกเขาฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกมาทูลถามพระองค์ว่า “จะให้พวกข้าพระองค์ไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน?”
มก. 14:13 พระองค์จึงทรงใช้สาวกสองคนไป สั่งพวกเขาว่า “จงเข้าไปในเมือง แล้วจะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบพวกท่าน จงตามคนนั้นไป
มก. 14:14 เขาเข้าไปที่ไหน ก็ให้บอกเจ้าของบ้านนั้นว่า พระอาจารย์ถามว่า ‘ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเรานั้นอยู่ที่ไหน?’
มก. 14:15 เจ้าของบ้านจะชี้ให้เห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด”
มก. 14:16 สาวกสองคนนั้นจึงออกไป เดินเข้าไปในเมือง และพบทุกอย่างเหมือนถ้อยคำที่พระองค์ตรัสแก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
มก. 14:17 เมื่อถึงเวลาค่ำแล้ว พระองค์จึงเสด็จมากับสาวกสิบสองคน
มก. 14:18 ขณะกำลังประทับและเสวยอาหารอยู่นั้น พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา เป็นคนที่ร่วมรับประทานอาหารกับเรา”
มก. 14:19 พวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์และทูลถามพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพระองค์หรือ?”
มก. 14:20 พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาว่า “เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนี้ เป็นคนที่จิ้มในชามเดียวกับเรา
มก. 14:21 เพราะบุตรมนุษย์จะต้องไปตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติแก่คนที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นไม่ได้เกิดมาจะดีกว่า”
มก. 14:22 ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา เมื่อขอพระพรแล้ว ทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า “จงรับเถิด นี่เป็นกายของเรา”
มก. 14:23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย เมื่อขอบพระคุณแล้วจึงส่งให้พวกเขา พวกเขาก็รับไปดื่มทุกคน
มก. 14:24 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่เป็นโลหิตของเราซึ่งเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่จะต้องหลั่งออกเพื่อคนจำนวนมาก
มก. 14:25 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลของเถาองุ่นอีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น คือวันที่เราจะดื่มใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้า”
มก. 14:26 เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็พากันไปที่ภูเขามะกอกเทศ
หลังจากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับสาวก(ช่วงวันที่ 1-40)
ยน. 20:1 วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยกออกไปแล้ว
ยน. 20:2 นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
ยน. 20:3 เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น
ยน. 20:4 เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน
ยน. 20:5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
ยน. 20:6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่
ยน. 20:7 ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก
ยน. 20:8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ
ยน. 20:9 แต่ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย
ยน. 20:10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน
ยน. 20:11 ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์
ยน. 20:12 และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท
ยน. 20:13 ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน”
ยน. 20:14 เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์
ยน. 20:15 พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป”
ยน. 20:16 พระเยซูตรัสกับนางว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์)
ยน. 20:17 พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน”
ยน. 20:18 มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง
ยน. 20:19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย”
ยน. 20:20 เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี
ยน. 20:21 พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น”
ยน. 20:22 เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด
ก่อนพระเยซูคริสต์ เสด็จขึ้นสู่เบื้องบน (อยู่กับพวกอัครทูต)
กิจการ 1:3 THSV11 “เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระองค์กับพวกเขาด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงกล่าวถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า”
กจ. 1:4 ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา
กจ. 1:5 นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
Iวันที่ 40 ณ ที่ภูเขามะกอกเทศ (500 คนส่งพระเยซูคริสต์ขึ้นไปยังสวรรค์)
กจ. 1:8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
กจ. 1:9 เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา(1คร. 15:6 ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว)
กจ. 1:10 เมื่อพวกเขากำลังเขม้นมองดูฟ้า ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไป มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา
กจ. 1:11 สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
บ้านห้องใหญ่ชั้นบน(ปัสกา บ้านนางมารีย์แม่ของมาระโก)
กจ. 1:12 แล้วอัครทูตจึงลงจากภูเขามะกอกเทศซึ่งอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม (ระยะทางเท่ากับระยะที่อนุญาตให้คนเดินในวันสะบาโต 1 กม.) แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม
กจ. 1:13 เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่เคยพักอยู่นั้น มีเปโตร ยอห์น ยากอบกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม กับยูดาสบุตรยากอบ
กจ. 1:14 พวกเขาอุทิศตัวอธิษฐานด้วยกัน พร้อมกับพวกผู้หญิงและมารีย์มารดาของพระเยซูทั้งพวกน้องชายของพระองค์ด้วย (กิจการของอัครทูต 1:14 TNCV “พวกเขาทั้งหมดร่วมใจกันขะมักเขม้นอธิษฐานพร้อมกับพวกผู้หญิง กับมารีย์มารดาของพระเยซู และพวกน้องชายของพระองค์”)
กจ. 1:15 ในเวลานั้นเปโตรยืนขึ้นท่ามกลางพวกพี่น้อง (ซึ่งอยู่รวมกันประมาณร้อยยี่สิบคน) และกล่าวว่า (กิจการของอัครทูต 1:15 TNCV “ครั้งนั้นเปโตรยืนขึ้นท่ามกลางเหล่าผู้เชื่อ (ประมาณ 120 คน)”)
เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง(วันที่50 หลังจากพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย วันที่10 หลังจากพระเยซูคริสต์ถูกรับขึ้นสู่เบื้องบน เหลือ 120 คน)
กจ. 2:1 เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์มาถึง พวกสาวกรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน (กิจการของอัครทูต 2:1 TNCV “เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน” )
กจ. 2:2 ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น
กจ. 2:3 และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน
กจ. 2:4 พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด
777777777777
มธ. 10:11 เมื่อท่านทั้งหลายมาถึงเมืองใดหรือหมู่บ้านใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับคนนั้น จนกว่าจะจากไป
มธ. 10:12 ขณะเมื่อขึ้นบ้าน จงให้พรแก่บ้านนั้น
มธ. 10:13 ถ้าบ้านนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของพวกท่านอยู่กับบ้านนั้น แต่ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่พวกท่านอีก
มัทธิว 10:14 THSV11 ถ้าใครไม่ต้อนรับและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากบ้านนั้นหรือเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของพวกท่านออกเสีย
ลก. 13:24 “จงเพียรพยายามเข้าไปทางประตูที่คับแคบ เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้คนจำนวนมากพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้
ลก. 13:25 เมื่อเจ้าของบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และพวกท่านยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘นายเจ้าข้า ช่วยเปิดให้เราด้วย’ แต่เจ้าของบ้านนั้นจะตอบท่านว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน’
ลก. 13:26 แล้วท่านจะกล่าวว่า ‘เราเคยกินดื่มกับนาย และนายก็เคยสั่งสอนที่ถนนของเรา’
ลก. 13:27 แต่เจ้าของบ้านนั้นจะกล่าวว่า ‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้าที่ทำความชั่วมาจากไหน จงไปให้พ้นหน้าเรา’
ลก. 13:28 แล้วจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในเวลาที่พวกท่านเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยพระวจนะในแผ่นดินของพระเจ้า แต่ตัวพวกท่านเองก็จะถูกขับไล่ออกไปอยู่ข้างนอก
ลก. 13:29 และจะมีคนจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ มานั่งร่วมโต๊ะในแผ่นดินของพระเจ้า
มธ. 7:24 “เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา
มธ. 7:25 แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา
มธ. 7:26 แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลา สร้างบ้านของตนไว้บนทราย
มธ. 7:27 แล้วฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่”
1คร. 10:3 ได้รับประทานอาหารฝ่ายจิตวิญญาณเดียวกันทุกคน
1คร. 10:4 และได้ดื่มน้ำฝ่ายจิตวิญญาณเดียวกันทุกคน เพราะว่าพวกเขาได้ดื่มจากพระศิลาฝ่ายจิตวิญญาณที่ติดตามเขาไป พระศิลานั้นคือพระคริสต์
1คร. 10:5 แต่ถึงกระนั้นก็ดีมีคนส่วนมากในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่พอพระทัย เราทราบได้จากที่เขาล้มตายกันเกลื่อนกลาดในถิ่นทุรกันดาร
1คร. 10:6 เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจเราไม่ให้ปรารถนาสิ่งชั่วเหมือนเขาทั้งหลาย
1คร. 10:7 พวกท่านอย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคนในพวกเขาได้ทำ ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกสนาน”
1คร. 10:8 อย่าให้เราล่วงประเวณีเหมือนบางคนในพวกเขาได้ทำ แล้วก็ล้มลงตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน
1คร. 10:9 อย่าให้เราลองดีพระคริสต์ เหมือนบางคนในพวกเขาได้ทำ แล้วต้องพินาศด้วยงูร้าย
1คร. 10:10 อย่าให้เราบ่นเหมือนบางคนในพวกเขาได้ทำ แล้วต้องพินาศด้วยองค์เพชฌฆาต
1คร. 10:11 เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้เขียนไว้เพื่อเตือนสติเราผู้ซึ่งมาถึงวาระสุดท้ายของยุคนี้แล้ว
1คร. 10:12 เพราะเหตุนี้คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังไม่ให้ล้มลง
1คร. 10:13 ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้