ทำไมต้องนมัสการพระเจ้า
บุคคลในพระคำภีร์ นมัสการสรรเสริญพระเจ้า
(ปฐมกาล 4:3-5 THSV11) อยู่มาวันหนึ่งคาอินนำพืชผลจากผืนดินมาเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ ส่วนอาเบลก็นำแกะหัวปีจากฝูงและไขมันของแกะมาถวาย พระยาห์เวห์พอพระทัยอาเบลและของถวายของเขา แต่คาอินกับของถวายของเขานั้น พระองค์ไม่พอพระทัย คาอินก็โกรธยิ่งนัก ก้มหน้าลง
(ปฐมกาล 4:26 TH1971) ฝ่ายเสทก็มีบุตร ชื่อ เอโนช คราวนั้นมนุษย์เริ่มต้นนมัสการโดยออกพระนามพระเยโฮวาห์
(ปฐมกาล 8:20 THSV11) โนอาห์สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์และเลือกเอาสัตว์ใช้งานที่สะอาด และนกที่สะอาดมาเผาบูชาถวายที่แท่นนั้น
(ปฐมกาล 12:8 THSV11) ท่านย้ายไปจากที่นั่น มาถึงภูเขาทางทิศตะวันออกของเบธเอล จึงตั้งเต็นท์อยู่ที่นั่น โดยเบธเอลอยู่ทางทิศตะวันตกและอัยอยู่ทางทิศตะวันออก และสร้างแท่นบูชาพระยาห์เวห์ที่นั่น และนมัสการออกพระนามพระยาห์เวห์
(ปฐมกาล 22:9 THSV11) เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน
(ปฐมกาล 26:25 THSV11) ท่านจึงสร้างแท่นบูชาที่นั่น และนมัสการออกพระนามพระยาห์เวห์ และตั้งเต็นท์ของท่านที่นั่น คนใช้ของอิสอัคขุดบ่อน้ำบ่อหนึ่งที่นั่นด้วย
(ปฐมกาล 33:20 THSV11) ยาโคบสร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียกแท่นนั้นว่า เอลเอโลเฮอิสราเอล
(ปฐมกาล 35:7 THSV11) ที่นั่นยาโคบสร้างแท่นบูชาไว้ และเรียกสถานที่นั้นว่าเอลเบธเอล เพราะว่าที่นั่น พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ยาโคบเมื่อท่านหนีพี่ชายไป
(อพยพ 17:15 THSV11) โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่ายาห์เวห์นิสสี
(โยชูวา 8:30 THSV11) แล้วโยชูวาได้สร้างแท่นบูชาที่ภูเขาเอบาลถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล
(ผู้วินิจฉัย 6:24 THSV11) กิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาแท่นหนึ่งถวายพระยาห์เวห์ที่นั่น และเรียกที่นั้นว่า ยาห์เวห์ชาโลม ทุกวันนี้แท่นนั้นก็ยังอยู่ที่เมืองโอฟราห์ ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร์
เพราะ ดาวิดเป็นนักนมัสการรสรรเสริญ
(1 ซามูเอล 7:17 THSV11) แล้วท่านกลับมาที่เมืองรามาห์ เพราะว่าบ้านของท่านอยู่ที่นั่น ท่านวินิจฉัยอิสราเอลที่นั่นด้วย ท่านสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น
(1 ซามูเอล 13:14 THSV11) แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระยาห์เวห์ทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระยาห์เวห์ทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์ เพราะท่านไม่ได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้”
(1 ซามูเอล 16:18 THSV11) คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระยาห์เวห์สถิตกับเขา”
(1 ซามูเอล 16:23 THSV11) ต่อมาเมื่อวิญญาณจากพระเจ้ามาเหนือซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณใช้มือดีดถวาย ซาอูลก็ทรงรู้สึกบรรเทาลงและทรงดีขึ้น และวิญญาณชั่วก็ละจากพระองค์ไป
(1 ซามูเอล 17:34-37 THSV11) แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยเลี้ยงฝูงแกะของบิดา และเมื่อมีสิงโตหรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง ข้าพระบาทก็ตามไปฆ่ามัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จับคางของมัน และทุบตีมันจนตาย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงโตและหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” และดาวิดทูลต่อไปว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียนี้” และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า “จงไปเถอะ และพระยาห์เวห์จะสถิตอยู่กับเจ้า”
(1 ซามูเอล 17:44-47 THSV11) คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “มาหาข้า ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ป่ากิน” แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทาย ในวันนี้พระยาห์เวห์จะทรงมอบท่านไว้ในมือข้า และข้าจะฆ่าท่านและตัดศีรษะของท่าน ในวันนี้ข้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งโลกนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งในอิสราเอล และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงมอบพวกท่านไว้ในมือของพวกเรา”
(1 ซามูเอล 18:14 THSV11) ดาวิดประสบความสำเร็จในทุกทาง เพราะพระยาห์เวห์สถิตกับเขา
(2 ซามูเอล 6:3-5 THSV11) และพวกเขาก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยพวกบุตรของอาบีนาดับก็ขับเกวียนใหม่เล่มนั้น และบรรทุกหีบของพระเจ้า นำจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอาหิโยเดินหน้าหีบ ดาวิดกับพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลก็ร่าเริงกันเต็มที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรี และด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ
(2 ซามูเอล 6:12-15 THSV11) มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอวยพรครอบครัวของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปนำหีบของพระเจ้า จากบ้านของโอเบดเอโดมถึงนครดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี และเมื่อผู้หามหีบของพระยาห์เวห์เดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง และดาวิดก็ทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ และดาวิดทรงสวมเอโฟดผ้าป่านอยู่ ดังนั้นดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอล นำหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นมา ด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์
(2 ซามูเอล 6:20-23 THSV11) และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียว นะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าพวกสาวใช้ของเหล่าข้าราชการของฝ่าพระบาท อย่างกับไพร่คนหนึ่งแก้ผ้าไร้ยางอาย” และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า “เป็นสิ่งที่ทำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อทรงแต่งตั้งให้เราเป็นผู้นำเหนือประชากรของพระยาห์เวห์ เหนืออิสราเอล เราจึงเริงโลดเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้ และเราจะเป็นคนต่ำต้อยในสายตาเรา แต่พวกสาวใช้ที่เจ้าพูดถึงนั้น สำหรับพวกเขา เราจะเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ” และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ
(2 ซามูเอล 24:25 THSV11) ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น และทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวกับเครื่องศานติบูชา พระยาห์เวห์ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ถูกระงับเสียจากอิสราเอล
(กิจการ 13:22 THSV11) เมื่อทรงถอดซาอูลแล้ว พระองค์ทรงตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของพวกเขา และทรงเป็นพยานกล่าวถึงดาวิดดังนี้ ‘เราพบว่าดาวิดบุตรของเจสซีเป็นคนที่ใจเราชื่นชอบ เป็นคนที่จะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทุกประการ’
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แห่งบาบิโลน นมัสการสรรเสริญถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า จิตใจก็กลับคืนเป็นปกติ
(ดาเนียล 4:28-33 THSV11) สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นได้เกิดขึ้นแก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ ต่อมาอีกสิบสองเดือน พระองค์ทรงดำเนินอยู่บนดาดฟ้าพระราชวังที่บาบิโลน แล้วกษัตริย์ตรัสว่า “นี่เป็นมหาบาบิโลน ซึ่งเราได้สร้างไว้ด้วยอำนาจใหญ่ยิ่งของเรา ให้เป็นพระราชฐานและเพื่อเป็นศักดิ์ศรีอันสูงส่งของเรามิใช่หรือ?” เมื่อกษัตริย์ตรัสยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “โอ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เราประกาศแก่เจ้าว่า ราชอาณาจักรได้พรากไปจากเจ้าแล้ว และเจ้าจะถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ เจ้าจะอยู่กับสัตว์ในท้องทุ่ง จะต้องกินหญ้าอย่างกับโค จะเป็นอยู่อย่างนั้นจนครบเจ็ดวาระ จนกว่าเจ้าจะเรียนรู้ได้ว่า พระผู้สูงสุดทรงปกครองบรรดาราชอาณาจักรของมนุษย์ และประทานราชอาณาจักรเหล่านั้นแก่ผู้ที่พระองค์พอพระทัย” ในทันใดนั้นเอง พระดำรัสเกี่ยวกับเนบูคัดเนสซาร์ก็สำเร็จ พระองค์ทรงถูกขับไล่ไปจากท่ามกลางมนุษย์ และเสวยหญ้าอย่างกับโค และพระกายก็เปียกน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์ จนขนงอกยาวอย่างกับขนนกอินทรี และเล็บก็เหมือนเล็บนก
(ดาเนียล 4:34-37 THSV11) เมื่อสิ้นสุดวาระนั้นแล้ว ตัวเราเนบูคัดเนสซาร์ก็แหงนหน้าดูฟ้าสวรรค์ และจิตใจของเราก็กลับคืนเป็นปกติ และเราก็ร้องสาธุการแด่พระผู้สูงสุดนั้น และสรรเสริญถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ดำรงอยู่เป็นนิตย์ เพราะการปกครองของพระองค์เป็นการปกครองนิรันดร์ และราชอาณาจักรของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วอายุ สำหรับพระองค์ ชาวพิภพทั้งสิ้นนับว่าไร้ค่า พระองค์ทรงทำตามชอบพระทัยท่ามกลางกองทัพแห่งสวรรค์ และท่ามกลางชาวพิภพด้วย ไม่มีผู้ใดยับยั้งพระหัตถ์ของพระองค์ได้ หรือทูลถามพระองค์ได้ว่า “ทำไมจึงทรงทำเช่นนี้?” ในเวลานั้นเองจิตใจของเราก็กลับคืนเป็นปกติ ความสูงส่งและสง่าราศีกลับมาสู่เราอีก เพื่อศักดิ์ศรีแห่งราชอาณาจักรของเรา พระสหายและข้าราชบริพารของเรากลับมาหาเรา และเราก็รับการสถาปนาไว้ในราชอาณาจักรของเรา ความยิ่งใหญ่กลับเพิ่มพูนแก่เราขึ้นอีก บัดนี้ตัวเราคือเนบูคัดเนสซาร์ ขอสรรเสริญ ยกย่องและถวายพระเกียรติแด่พระมหาราชาแห่งสวรรค์ เพราะว่าพระราชกิจของพระองค์ถูกต้อง และพระมรรคาของพระองค์ก็เที่ยงธรรม บรรดาผู้ดำเนินอยู่ในความเย่อหยิ่ง พระองค์ก็ทรงสามารถให้ต่ำลง
เยโฮชาฟัท นมัสการพระเจ้า จึงมีชัยชนะศัตรู ทั้ง 3 ชนชาติ ได้
(2 พงศาวดาร 20:1-30 THSV11) ต่อมาภายหลัง คนโมอับและคนอัมโมนพร้อมกับคนเมอูนี บางส่วนมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า “มีคนมากมายจากเอโดม และจากฟากข้างนั้นของทะเล ยกมาสู้รบกับฝ่าพระบาท ดูสิ พวกเขาอยู่ในฮาซาโซนทามาร์” (คือ เอนกาดี) และเยโฮชาฟัทก็กลัว และทรงมุ่งแสวงหาพระยาห์เวห์ ทั้งทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์ แล้วยูดาห์ชุมนุมกันและแสวงหาความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ เขาทั้งหลายมาจากทุกเมืองของยูดาห์ เพื่อแสวงหาพระยาห์เวห์ และเยโฮชาฟัททรงยืนอยู่ในที่ประชุมของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ตรงข้างหน้าลานใหม่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ไม่ใช่หรือ? พระองค์ทรงครอบครองเหนือบรรดาราชอาณาจักรของประชาชาติไม่ใช่หรือ? พระองค์ทรงมีฤทธิ์เดชและพลานุภาพในพระหัตถ์ของพระองค์ จึงไม่มีใครอาจต่อต้านพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ พระองค์ทรงขับไล่ชาวแผ่นดินนี้ออกไปพ้นหน้าอิสราเอลประชากรของพระองค์ และประทานแผ่นดินแก่เชื้อสายของอับราฮัมสหายของพระองค์เป็นนิตย์ ไม่ใช่หรือ? และเขาทั้งหลายอาศัยอยู่ในนั้น ทั้งสร้างสถานนมัสการในที่นั้นถวายพระองค์ เพื่อพระนามของพระองค์แล้วทูลว่า ‘ถ้ามีเหตุร้ายมาเหนือพวกข้าพระองค์ไม่ว่าจะเป็นดาบ การพิพากษา โรคระบาด หรือการกันดารอาหาร ข้าพระองค์ทั้งหลายจะยืนอยู่ต่อหน้าพระนิเวศนี้และเฉพาะพระพักตร์พระองค์ (เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระนิเวศนี้) และร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของพวกข้าพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงฟังและจะทรงช่วยให้รอด’ นี่แน่ะ บัดนี้คนอัมโมน คนโมอับ และคนภูเขาเสอีร์ ซึ่งเป็นพวกที่พระองค์ไม่ทรงยอมให้คนอิสราเอลบุกรุก เมื่อออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ อิสราเอลก็หันออกไปโดยไม่ได้ทำลายพวกเขา ดูสิ เขาทั้งหลายตอบแทนพวกข้าพระองค์ด้วยการมาขับไล่เราให้ออกจากแผ่นดินกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ที่พระองค์ประทานเป็นมรดกแก่พวกข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์จะไม่ทรงพิพากษาพวกเขาหรือ? เพราะว่าพวกข้าพระองค์ไม่มีฤทธิ์เดชที่จะต่อสู้คนมากมายนี้ ที่กำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งมองที่พระองค์” ในระหว่างนั้นคนยูดาห์ทั้งหมดก็ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พร้อมกับภรรยาลูกและเด็กเล็กๆ ของเขา และในท่ามกลางที่ประชุมนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์เสด็จมาเหนือยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรเบไนยาห์ ผู้เป็นบุตรเยอีเอล ผู้เป็นบุตรมัทธานิยาห์ เขาเป็นคนเลวีเชื้อสายของอาสาฟ และเขาพูดว่า “ยูดาห์ทั้งหมดและบรรดาชาวเยรูซาเล็ม ทั้งพระราชาเยโฮชาฟัท ขอจงฟัง พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้กับท่านทั้งหลายว่า ‘อย่ากลัว และอย่าท้อแท้เพราะคนมากมายเหล่านี้เลย เพราะการรบนั้นไม่ใช่เรื่องของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า พรุ่งนี้เช้าจงลงไปต่อสู้กับพวกเขา นี่แน่ะ เขาทั้งหลายจะยกขึ้นมาตามทางขึ้นที่ตำบลศิส พวกท่านจะพบกับพวกเขาที่ปลายหุบเขาทางด้านหน้าของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล ท่านทั้งหลายไม่ต้องต่อสู้ในการรบครั้งนี้ โอ ยูดาห์ และเยรูซาเล็ม จงเข้าประจำที่ ยืนนิ่งและมองดูชัยชนะของพระยาห์เวห์เพื่อพวกท่าน’ อย่ากลัวและอย่าท้อแท้ พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับพวกเขาและพระยาห์เวห์จะสถิตกับท่านทั้งหลาย” แล้วเยโฮชาฟัททรงก้มลงและซบพระพักตร์ของพระองค์ลงถึงดิน และยูดาห์ทั้งหมดกับชาวเยรูซาเล็มก็กราบลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ นมัสการพระองค์ และคนเลวี จากพงศ์พันธุ์โคฮาทและพงศ์พันธุ์โคราห์ ก็ยืนขึ้นสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยเสียงดังมาก เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปยังถิ่นทุรกันดารเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัททรงยืนและตรัสว่า “ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะได้รับความมั่นคง จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะได้รับความสำเร็จ” และเมื่อพระองค์ทรงปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ทรงแต่งตั้งพวกที่จะร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะเมื่อพวกเขาเดินนำหน้ากองทัพออกไปและร้องว่า “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์” และเมื่อเขาทั้งหลายเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญ พระยาห์เวห์ทรงให้มีกองซุ่มต่อสู้กับคนอัมโมน คนโมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ ซึ่งเข้ามาสู้กับยูดาห์ และพวกเขาก็ถูกตีแตกไป เพราะว่าคนของอัมโมนและคนโมอับหันไปต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ และทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน เมื่อยูดาห์ขึ้นไปยังจุดเฝ้ามองในถิ่นทุรกันดาร เขาทั้งหลายมองตรงไปที่คนมากมายนั้น และ ดูสิ มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้ เมื่อเยโฮชาฟัทและประชาชนของพระองค์มาเก็บของริบจากพวกนั้น เขาทั้งหลายพบข้าวของ จำนวนมากในพวกนั้น ทั้งเสื้อผ้า และของมีค่าต่างๆ ซึ่งพวกเขาเก็บสำหรับตัวเองจนกว่าเขาจะขนไปไม่ไหว พวกเขาใช้เวลาเก็บของริบสามวัน เพราะมีมากเหลือเกิน และวันที่สี่เขาทั้งหลายชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์ เพราะว่าพวกเขาสรรเสริญพระยาห์เวห์ที่นั้น เพราะเหตุนี้ เขาจึงเรียกที่นั้นว่าเบราคาห์ จนถึงทุกวันนี้ แล้วคนยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคนก็กลับไป โดยมีเยโฮชาฟัททรงนำหน้า พวกเขากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความชื่นบาน เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำให้พวกเขาเปรมปรีดิ์เย้ยศัตรูของเขา เขาทั้งหลายมายังกรุงเยรูซาเล็มด้วยพิณใหญ่ พิณเขาคู่และแตร มาถึงพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และความเกรงกลัวพระเจ้ามาอยู่ในอาณาจักรทุกแห่งของดินแดนทั้งหลาย เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้กับศัตรูของอิสราเอล อาณาจักรของเยโฮชาฟัทจึงสงบ เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ประทานให้พระองค์มีการพักสงบอยู่รอบด้าน
สรุป (2 พงศาวดาร 20:20-24, 30 THSV11) เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปยังถิ่นทุรกันดารเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัททรงยืนและตรัสว่า “ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะได้รับความมั่นคง จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะได้รับความสำเร็จ” และเมื่อพระองค์ทรงปรึกษากับประชาชนแล้ว พระองค์ทรงแต่งตั้งพวกที่จะร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงไว้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะเมื่อพวกเขาเดินนำหน้ากองทัพออกไปและร้องว่า “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์” และเมื่อเขาทั้งหลายเริ่มร้องเพลงและสรรเสริญ พระยาห์เวห์ทรงให้มีกองซุ่มต่อสู้กับคนอัมโมน คนโมอับ และชาวภูเขาเสอีร์ ซึ่งเข้ามาสู้กับยูดาห์ และพวกเขาก็ถูกตีแตกไป เพราะว่าคนของอัมโมนและคนโมอับหันไปต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์ และทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน เมื่อยูดาห์ขึ้นไปยังจุดเฝ้ามองในถิ่นทุรกันดาร เขาทั้งหลายมองตรงไปที่คนมากมายนั้น และ ดูสิ มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้ อาณาจักรของเยโฮชาฟัทจึงสงบ เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ประทานให้พระองค์มีการพักสงบอยู่รอบด้าน
(โรม 12:1 THSV11) ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน
(สดุดี 150:1-6 THSV11) สรรเสริญพระยาห์เวห์ จงสรรเสริญพระเจ้าในสถานนมัสการของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์ในพื้นฟ้าอันอานุภาพของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์ เพราะกิจการอันทรงอานุภาพของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์ ตามความยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตร จงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณเขาคู่และพิณใหญ่ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนา และการเต้นรำ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและปี่ จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉิ่ง จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบ จงให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระยาห์เวห์ สรรเสริญพระยาห์เวห์
(ฮีบรู 10:25 THSV11) อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
(สดุดี 135:15-18 THSV11) รูปเคารพของบรรดาประชาชาติเป็นเงินและทองคำ เป็นผลงานของมือมนุษย์ รูปเหล่านั้นมีปาก แต่พูดไม่ได้ มีตา แต่ดูไม่ได้ มีหู แต่ฟังไม่ได้ ทั้งไม่มีลมหายใจในปากของรูปเหล่านั้น ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น ทุกคนที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน
(ยอห์น 4:23, 24 THSV11)แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
(วิวรณ์ 19:1-8 THSV11) หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงของมหาชนที่ดังสนั่นอยู่ในสวรรค์ กล่าวว่า “ฮาเลลูยา ความรอด พระสิริ และฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้าของเรา เพราะการพิพากษาของพระองค์เที่ยงตรงและยุติธรรม พระองค์ทรงพิพากษาหญิงแพศยาตัวเอ้ ผู้ทำให้แผ่นดินโลกเสื่อมทรามด้วยการล่วงประเวณีของนาง และพระองค์ทรงแก้แค้นหญิงคนนั้น ในเรื่องโลหิตของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ” คนเหล่านั้นร้องอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ฮาเลลูยา ควันไฟของนครนั้นพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ ” และพวกผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ก็ทรุดตัวลงนมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง และร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา” และมีเสียงออกมาจากพระที่นั่งว่า “ผู้รับใช้ทุกคนของพระเจ้า และบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา” แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า “ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกมาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว และโปรดให้เจ้าสาวสวมใส่ ผ้าป่านเนื้อละเอียด มันระยับและสะอาด เพราะว่าผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นคือการประพฤติอันชอบธรรมของธรรมิกชน”
(สดุดี 117:1, 2 THSV11) ประชาชาติทั้งสิ้นเอ๋ย จงสรรเสริญพระยาห์เวห์เถิด ชนชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องพระองค์เถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นใหญ่ยิ่งนัก และความซื่อสัตย์ของพระยาห์เวห์ดำรงเป็นนิตย์ สรรเสริญพระยาห์เวห์
พระวิญญาณช่วย
(1 โครินธ์ 6:17 THSV11)แต่คนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตวิญญาณเดียวกับพระองค์
(ยอห์น 4:24 THSV11) พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
(สดุดี 29:1, 2 THSV11) บรรดาบุตรของพระเจ้าเอ๋ย จงถวายแด่พระยาห์เวห์เถิด จงถวายพระเกียรติและพระกำลังแด่พระยาห์เวห์ จงถวายพระเกียรติซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์แด่พระยาห์เวห์ จงนมัสการพระยาห์เวห์ผู้ทรงงดงามในความบริสุทธิ์
(สดุดี 115:8 THSV11) ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น ทุกคนที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน
กิจกรรมเดียวที่ทำบนสวรรค์
(วิวรณ์ 4:10, 11 THSV11) ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่ท่านก็ทรุดตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น และนมัสการพระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับพระสิริ พระเกียรติและฤทธานุภาพ เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็ดำรงอยู่และถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์”
(วิวรณ์ 5:11-14 THSV11) แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นและได้ยินเสียงของทูตสวรรค์มากมายนับจำนวนเป็นแสนๆ เป็นล้านๆ ที่อยู่รอบพระที่นั่ง รอบพวกสิ่งมีชีวิต และรอบบรรดาผู้อาวุโส ร้องเสียงดังว่า “พระเมษโปดกผู้ถูกปลงพระชนม์แล้วนั้นทรงสมควรได้รับ ฤทธานุภาพ ทรัพย์สมบัติ พระปัญญา พระกำลัง พระเกียรติ พระสิริ และคำสดุดี” แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก ในมหาสมุทร และทุกสิ่งซึ่งอยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า “ขอให้คำสดุดี พระเกียรติ พระสิริและอานุภาพ จงมีแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งและแด่พระเมษโปดก ตลอดไปเป็นนิตย์” และสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นก็ร้องว่า “อาเมน” และบรรดาผู้อาวุโสก็ทรุดตัวลงและนมัสการ
(วิวรณ์ 22:8, 9 THSV11) ข้าพเจ้าคือยอห์น เป็นผู้ที่ได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ที่สำแดงสิ่งเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด”
พระเจ้าสร้างทุกสิ่งมาเพื่อ
(สดุดี 100:1-5 THSV11) แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายแด่พระยาห์เวห์ จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความยินดี จงเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยการร้องเพลง จงรู้เถิดว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า คือพระองค์เองที่ทรงสร้างเราทั้งหลาย และเราก็เป็นของพระองค์ เราเป็นประชากรของพระองค์ เป็นแกะแห่งทุ่งหญ้าของพระองค์ จงเข้าประตูของพระองค์ด้วยการขอบพระคุณ และเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ จงขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์ประเสริฐ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ และความซื่อสัตย์ของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์
สดด. 105:1 จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ จงร้องออกพระนามพระองค์ จงประกาศบรรดากิจการของพระองค์แก่ชนชาติทั้งหลาย
สดด. 105:2 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ จงเล่าถึงการอัศจรรย์ทั้งสิ้นของพระองค์
สดด. 105:3 จงสรรเสริญพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ให้ใจของบรรดาผู้แสวงหาพระยาห์เวห์ยินดี
สดด. 105:4 จงแสวงหาพระยาห์เวห์ และพระกำลังของพระองค์ แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์เสมอ
สดด. 105:5 จงระลึกถึงการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ หมายสำคัญและคำพิพากษาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
สดด. 105:6 โอ พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมผู้รับใช้ของพระองค์ ลูกหลานของยาโคบ บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร
สดด. 105:7 พระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา คำพิพากษาของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
สดด. 105:8 พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์อยู่เป็นนิตย์ คือพระวจนะที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ตลอดหนึ่งพันชั่วอายุคน
สดด. 105:9 คือพันธสัญญาซึ่งทรงทำไว้กับอับราฮัม และคำปฏิญาณที่ทรงให้ไว้แก่อิสอัค
สดด. 105:10 ซึ่งพระองค์ทรงยืนยันอีกกับยาโคบให้เป็นกฎเกณฑ์ กับอิสราเอล ให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์
สดด. 105:11 ว่า “เราจะให้แผ่นดินคานาอันแก่เจ้า” เป็นส่วนมรดกของเจ้าทั้งหลาย
สดด. 105:12 เมื่อพวกเขายังเป็นแต่คนจำนวนน้อย แค่หยิบมือ ยังเป็นแต่คนต่างด้าวในที่นั้น
สดด. 105:13 พเนจรไปจากประชาชาตินี้ถึงประชาชาตินั้น จากราชอาณาจักรนี้ถึงอีกชนชาติหนึ่ง
สดด. 105:14 พระองค์มิทรงยอมให้ผู้ใดบีบบังคับเขา พระองค์ทรงตักเตือนบรรดาพระราชาด้วยเห็นแก่พวกเขาว่า
สดด. 105:15 “อย่าแตะต้องผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายผู้เผยพระวจนะของเรา”
สดด. 105:16 เมื่อพระองค์ทรงเรียกการกันดารอาหารให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน พระองค์ทรงทำลายอาหารทั้งหมด
สดด. 105:17 พระองค์ทรงใช้ชายคนหนึ่งไปข้างหน้าพวกเขา คือโยเซฟผู้ถูกขายไปเป็นทาส
สดด. 105:18 พวกเขาทำให้เท้าทั้งคู่ของเขาเจ็บด้วยตรวน คอของเขาเข้าอยู่ในปลอกเหล็ก
สดด. 105:19 จนกว่าสิ่งที่เขากล่าวได้เกิดขึ้นจริง พระดำรัสของพระยาห์เวห์พิสูจน์ว่าเขาถูก
สดด. 105:20 พระราชาก็ทรงใช้ให้ไปปล่อยตัวเขา ผู้ปกครองของชนชาติทั้งหลายได้ปล่อยเขาเป็นอิสระ
สดด. 105:21 พระราชาทรงตั้งเขาให้เป็นเจ้านายเหนือวังของพระองค์ เป็นผู้ปกครองกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นของพระองค์
สดด. 105:22 ให้บังคับบัญชาข้าราชการของพระองค์ตามชอบใจ และสอนสติปัญญาแก่ผู้อาวุโสของพระองค์
สดด. 105:23 แล้วอิสราเอลได้มาที่อียิปต์ ยาโคบได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของฮาม
สดด. 105:24 และพระเจ้าทรงทำให้ประชากรของพระองค์มีลูกดก และทรงทำให้พวกเขาแข็งแรงกว่าคู่อริ
สดด. 105:25 พระองค์ทรงหันใจเขาเหล่านั้นให้เกลียดประชากรของพระองค์ ให้ใช้กลอุบายแก่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
สดด. 105:26 พระองค์ทรงใช้โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ และอาโรนผู้ที่พระองค์ทรงเลือกไว้
สดด. 105:27 เขาทั้งสองทำหมายสำคัญของพระองค์ท่ามกลางคนเหล่านั้น ทำการอัศจรรย์ในแผ่นดินของฮาม
สดด. 105:28 พระองค์ทรงใช้ความมืดมาทำให้แผ่นดินมืด เขาทั้งหลายมิได้กบฏต่อพระวจนะของพระองค์
สดด. 105:29 พระองค์ทรงทำให้น้ำกลายเป็นเลือด และให้ปลาของพวกเขาตาย
สดด. 105:30 แผ่นดินของพวกเขาเต็มไปด้วยกบ แม้แต่ในห้องบรรทมพระราชาของเขา
สดด. 105:31 พระองค์ตรัส แล้วฝูงเหลือบก็มา และริ้นมีไปทั่วเขตแดนของพวกเขา
สดด. 105:32 พระองค์ประทานลูกเห็บแทนฝนแก่พวกเขา และฟ้าผ่าในแผ่นดินของพวกเขา
สดด. 105:33 พระองค์ทรงตีเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของพวกเขา และทรงฟาดต้นไม้ในเขตแดนของพวกเขาแหลกไป
สดด. 105:34 พระองค์ตรัส แล้วตั๊กแตนวัยบินก็มา และตั๊กแตนวัยกระโดดมานับไม่ถ้วน
สดด. 105:35 มากินพืชในแผ่นดินของพวกเขาหมด และกินผลแห่งดินของพวกเขาสิ้น
สดด. 105:36 พระองค์ทรงสังหารบุตรหัวปีในแผ่นดินของพวกเขา คือผลแรกแห่งกำลังทั้งสิ้นของพวกเขา
สดด. 105:37 แล้วพระองค์ทรงนำอิสราเอลออกไป พร้อมกับเงินและทองคำ และไม่มีสักคนหนึ่งในเผ่าของพระองค์สะดุด
สดด. 105:38 เมื่อเขาทั้งหลายจากไป อียิปต์ก็ยินดี เพราะอียิปต์หวาดกลัวอิสราเอล
สดด. 105:39 พระองค์ทรงกางเมฆเป็นเครื่องกำบัง และไฟให้ความสว่างเวลากลางคืน
สดด. 105:40 เขาทั้งหลายร้องขอ แล้วพระองค์ทรงนำนกคุ่มมา และทรงให้พวกเขาอิ่มด้วยอาหารจากฟ้า
สดด. 105:41 พระองค์ทรงเปิดหิน แล้วน้ำก็ไหลออกมา มันไหลไปเป็นแม่น้ำในที่แห้งแล้ง
สดด. 105:42 เพราะพระองค์ทรงระลึกถึงพระสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์ และอับราฮัมผู้รับใช้ของพระองค์
สดด. 105:43 พระองค์จึงทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาด้วยความชื่นบาน ทรงนำผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้นั้นด้วยการร้องเพลง
สดด. 105:44 และพระองค์ประทานแผ่นดินของบรรดาประชาชาติแก่เขา และพวกเขาได้ผลแห่งแรงงานของชาวประเทศทั้งหลายเป็นกรรมสิทธิ์
สดด. 105:45 เพื่อพวกเขาจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ และรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์ สรรเสริญพระยาห์เวห์